เทศน์เช้า

กรอบทุกข์

๓ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

กรอบทุกข์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกนี้เป็นโลกของความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ เห็นไหม ทุกข์ขังสัตว์ทั้งหมดเลย เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็โดนความเป็นมนุษย์ขังเอาไว้ เวลาเราตายไปเราก็ตายไปเฉยๆ ตายไปเฉยๆ เห็นไหม เวลาตายไป คิดดูสิคนที่ตายไปมันมีอะไรบกพร่องไป? โลกก็อยู่ของเขาได้ ทุกอย่างก็อยู่ของเขาได้ คนเกิดมาเราก็ดีใจ ลูกหลานเกิดมาก็ดีใจ คนตายก็เสียใจถ้าเป็นลูกหลานเรา แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ใช่ญาติของเราล่วงไปๆ นี่มันก็เกิดตายๆ ไป

ขังไง ทุกข์นี้ขังพวกเราไว้ เราไม่รู้จัก แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าเราเพลิดเพลินอยู่ เราไม่เข้าใจ เกิดมาแล้วเรามีความสุขหรือว่าเรายังเพลิดเพลินกับชีวิตอยู่ เราก็อยู่ของเราไป มันก็มีความพอใจของมัน แต่มันขัดข้องใจเราไม่รู้ นี่สภาวะของโลกเป็นอย่างนั้น สภาวะของการเป็นมนุษย์เราเกิดมามีวาสนามาก วาสนาตรงนี้เป็นอิสรเสรี จะทำความดีก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ อิสระของเราถ้าไม่ผิดกฎหมาย หรือผิดผิดกฎหมายเราก็ปิดบังไว้ไม่มีใครรู้ตามเราได้ นี่เรื่องของโลก

เราเป็นมนุษย์ เกิดมานี่ทุกข์มันขังเราไว้แต่เราไม่รู้ แต่พอมีเรื่องของศาสนา เรื่องศาสนาสอนถึงทุกข์ภายในด้วย ทุกข์ภายนอก เรื่องของโลกนี่ทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว เราต้องหมุนไปตามมัน แล้วมันไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้เราทำบุญกุศลมาก็เพื่อตรงนี้ไง เราสร้างบุญกุศลมาขึ้นมาเพื่อให้มีเครื่องผ่อนคลาย รถต้องเติมน้ำมัน น้ำมันเต็มถังไปไหนก็อุ่นใจ น้ำมันพร่องไปครึ่งถัง น้ำมันเกือบจะหมด ไม่มีปั๊มนี่ คอยเหลียวมองหาปั๊มว่ารถมันจะเติมน้ำมันอย่างไร

นี่เหมือนกัน ชีวิตที่เคลื่อนไป ถ้ามีบุญกุศลส่งเสริมขึ้นไปเราก็อยู่ของเราได้ บุญกุศลทำให้เรามีอุปสรรคข้างหน้า มันแก้ไขได้นะ บางทีเรามีเหตุการณ์ขัดข้อง มันจะมีความเป็นไปให้เราพลิกแพลงออกไปของเราได้ นั่นล่ะบุญกุศลจากที่เราทำข้างนอกมันก็เป็นเรื่องของข้างนอก เราขวนขวายของเราเข้าไป ศาสนาสอนเรื่องหยาบๆ คือเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนาจากภายใน ทุกข์ภายใน ทุกข์ในหัวใจของเรา นี่ทุกข์ภายในจะแก้ไขได้อย่างไร

ทุกข์ภายนอกเราต้องเกิดต้องตาย เห็นไหม เราต้องเกิดต้องตายเราก็อาศัยบุญกุศลพาไปๆ ทุกข์ภายในเราแก้ไขได้ไง ถึงว่าทุกข์ภายในนี่เราแก้ไข คนที่จะแก้ไขต้องเห็นอริยสัจ เห็นทุกข์จากภายใน ถ้าไม่เห็นอริยสัจเกิดขึ้นจากตรงไหน เวลาเรานะ ทาน ศีล ภาวนา มีศีลก็ขัดข้องใจ คนที่มีศีลกับคนที่มีศีลอยู่ในโลกนี้ คนที่ไม่มีศีลเขาว่าเขาสะดวกสบาย เขาทำอะไรของเขาได้ตามสบายของเขานะ เขาว่าคนที่มีศีลนี่เป็นคนโง่ ทำอะไรก็ทำแต่ว่าต้องมีขอบมีเขต เป็นคนโง่

แต่คนโง่นี่เป็นคนเอาตัวรอดได้ คนฉลาด เขาว่าเขาฉลาด เขาทำอะไรได้ แต่ในหัวใจของเขาต้องมีความตกผลึกทุกข์ที่เขาทำเองออกมาจากที่เขาทำ มันตกอยู่ในหัวใจของเขา เขาจะปฏิเสธไม่ได้หรอก แต่ที่ว่าคนโง่ๆ ในหัวใจเขาผ่องแผ้ว ข้างนอกเขาดูว่าโง่เพราะอะไร เพราะเขาไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาด เขาไม่ทำสิ่งที่ว่าโลกที่มันเป็นอกุศลเข้ามาในหัวใจ เขารู้ตัวเขาอยู่

เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก ทำที่แจ้ง ทำที่ลับ ทุกข์นี้เราเป็นคนทำ หัวใจนี้เป็นคนทำ หัวใจนี้ตกผลึก ความรับรู้มันอยู่ที่ใจของเรา มันปิดใครไม่ได้หรอก เห็นไหม ที่บอกหัวใจผ่องแผ้วเพราะอะไร เพราะตัวเองไม่ได้ทำความผิดพลาด ตัวเองทำแต่ความดี มันก็เริ่มจากตรงนั้นเข้ามาแล้ว แล้วพอเรามีศีล ศีลมันก็จำกัดขอบเขตของใจ มีภาวนานี่ ทุกข์จากภายในที่ว่าแก้ไขได้ ทุกข์จากภายใน เราแก้ของเราได้ ใครทำของใคร ทุกข์ประจำตน รู้ประจำตน เราดีหรือเราไม่ดี ในหัวใจเรารู้ประจำตน เราเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อนเรารู้ประจำอยู่ในหัวใจ ในหัวใจเราจะเป็นคนรู้เอง ตรงนี้สำคัญที่สุด สำคัญ เห็นไหม

ทุกบุคคล ทุกคนในโลกนี้เป็นคนดีหมด โลกนี้มันก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าโลกนี้มันเป็นไปอย่างนี้ มันเป็นกรรมของโลกเหมือนกัน พวกเราทำกรรมเพื่อจะให้เป็นไปตามกระแสของเรา พระอาทิตย์ขึ้นช่วงเช้ามันก็สดชื่น เพราะอากาศยังสดชื่นอยู่ พอกลางวันร้อนหน่อย พอตกบ่ายไปล่ะ นี่มันหมุนไปตามวัฏฏะของมัน แล้วเราจะเหนี่ยวรั้งไว้อย่างไร แล้วเหนี่ยวรั้ง เพียงแต่เราจะจัดการให้มันดีขึ้นถ้าครูบาอาจารย์จะจัดการให้มันดีขึ้น เป็นไปได้มันก็เป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้มันก็สุดวิสัย อันนั้นเรื่องของโลกที่ไม่มีใครสามารถจะเหนี่ยวรั้งมันได้ มันไปตามกระแส

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายหมด ทิ้งแต่ความเป็นไปของโลกนี้ไว้เป็นไป แต่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เหมือนพวกเรา พวกเราตายไปมีแต่ความกังวล มีแต่ความทุกข์ หัวใจบีบคั้นไป แต่ถ้าทุกข์ภายในนี่เรากำจัดได้ เรากำจัดได้ เราแก้ไขได้

ถึงว่าถ้าย้อนกลับมา ย่นเข้ามาเรื่องของภายในของใจ เราไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร มันทำได้โดยที่เราทำได้ เราควบคุมได้ เหมือนกับเราควบคุมสิ่งที่ว่ามันเป็นของเรานี่เราควบคุมได้ แต่ข้างนอกเราควบคุมไม่ได้ เพราะว่ากรรม อจินไตย กรรมเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก กรรมส่งผลออกไป แล้วกรรมมันส่งผลมาปัจจุบันนี้ มันเป็นทุกข์ร้อนไปกันทั้งหมด ไม่ใช่เราคนเดียว มันเป็นไปทั้งหมดเลย แต่ก็พยายามจะทำอย่างนั้นไปมันก็ไปขวางเขา พอขวางเขามันก็เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม แต่ถ้ากรรมภายใน กรรมจากหัวใจของเรา กรรมภายในเราสามารถแก้ไขได้

พลังงานของใจ ถ้าเราเกิดสมาธิ สัมมาสมาธิขึ้นมา มันมีความสุขใจ ใจนี้เป็นสุขขึ้นมาก่อน พอใจเป็นสุขขึ้นมา เหมือนกับเรา ถ้าเราไม่เป็นหนี้เป็นสินเขาเลย เราจะทำอะไรเราก็ทำได้ใช่ไหม เราไม่เป็นเหนี้เป็นสิน เรามีทุนมีรอน เราจะประกอบอาชีพอะไรก็ได้ เราทำธุรกิจอะไรก็ได้ ใจก็เหมือนกัน ถ้าใจมันยังเร่าร้อนอยู่ ใจมันเสวยอารมณ์อยู่ มันมีแต่อารมณ์ เห็นไหม มีแต่เงา แต่ตัวใจไม่เห็น

พอทำความสงบเข้ามา อารมณ์มันสงบตัวลง อารมณ์สงบตัวลง เห็นอะไรขึ้นมาในนั้น เหลืออะไร? เหลือหัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่ผ่องแผ้วนี้เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเริ่มจะพลิกเข้ามาแก้ไขความติดขัดความขัดข้องหมองใจ

มันผ่องแผ้วเดี๋ยวมันก็มืดมนไปได้ สรรพสิ่งนี้มันแปรสภาพตลอดเวลา ความมัวหมองนั้นก็ทำให้ผ่องแผ้วได้โดยธรรมชาติของมัน แต่เรามองข้ามไง เรามองข้ามหัวใจของเรา ร่างกายนี้อาศัยโลกนี้อยู่ด้วยความเป็นทุกข์ ก็ทุกข์อยู่กับเขา เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ แต่หัวใจที่ผ่องแผ้วมันสามารถตายเกิดๆ

เวลาเราตายไป เห็นไหม เราไปส่งกันที่เชิงตะกอน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจิตวิญญาณดวงนั้นไปที่ไหน จิตวิญญาณของในหัวใจจะไปต่อไป ถ้ามันผ่องแผ้วแล้วมันก็เกิดเป็นสูงขึ้นมา รถน้ำมันเต็มที่มันขับเคลื่อนไปไหนมันไปด้วยความอิ่มใจ บุญกุศลเต็มหัวใจ เวลาดับขันธ์มันจะไปสิ่งที่มันพอใจ มันอิ่มใจ ถ้ารถนั้นน้ำมันไม่มีเลย มีแต่ตัวรถแล้วรุ่มร้อนมันก็ไปตามประสาของมันเร่าร้อน อันนั้นบุญกุศลพาไป อันนี้บุญกุศลใช้ได้หมดไง บุญกุศลนี้เป็นอามิส แต่สิ่งที่เป็นความสุขจริงๆ สิ่งที่ว่าจะชำระอามิสทั้งหมดออกไปจากใจ อันนั้นล่ะ พอใจมันผ่องแผ้วแล้วค่อยย้อนกลับมาหาทุกข์ไง

ทุกข์จากภายในที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่มนุษย์ว่าทุกข์ๆ อยู่นี้เป็นทุกข์ที่บ่นเอา มันเกิดจากหัวใจมันเผาเร่าร้อนจากหัวใจแล้วมันคลายออกมาจากความรู้สึก แล้วคลายออกมากระทบกระทั่งกันภายนอก อันนั้นที่ว่ามันแก้ไขกันไม่ได้ เพราะเราบังคับคนอื่นไม่ได้ที่เขาจะกระทบกระเทือนเรา เขาจะทำเรา กระแสนี่เราบังคับมันไม่ได้ แต่หัวใจเราบังคับได้ หัวใจที่มันผ่องแผ้วนี่เราบังคับได้ บังคับให้หันกลับมาดูอริยสัจ ทุกข์ที่มันเกิด

ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิด สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วต้องแปรสภาพ ต้องบุบสลายไปเป็นธรรมดา ใจนี้เกิดขึ้นในภพของมนุษย์ แล้วมีโอกาสพบพุทธศาสนา ศาสนาเรานี่ประเสริฐประเสริฐตรงนั้น ประเสริฐที่ว่าย้อนกลับมาจากภายในใจของเราได้ เราแก้ไขใจของเรา เห็นทุกข์จากภายใน มันแก้ไขที่ว่าเชื้อที่พาเกิดอยู่ที่ไหน เชื้อที่พาเกิดมันติดข้องในอะไร มันโง่ในอะไร มันเศร้าหมองไปในอะไร มันติดข้องในอะไร? มันติดข้องในกายของเรา ในความรู้สึกของเรา มันติดข้องจิตนั่นแหละ ติดข้องความรู้สึก ติดข้องความคิดของเรา คิดขึ้นมาแล้วเราก็ติดข้องกับความคิดเข้าไป ทำไมมันยับยั้งไม่ได้ล่ะ นี่เริ่มจากตรงนี้แล้ววิปัสสนาเข้าไป ความวิปัสสนาเข้าไปนี่เริ่มแก้ไข แก้ไขกายกับใจ

ใจนี่มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับเป็นตัวเรา เวลามนุษย์พวกเราปุถุชนคิดอย่างนั้น แต่ผู้ที่เขาประพฤติปฏิบัติเข้าไป สิ่งนั้นไม่ใช่ใจ สิ่งนี้เป็นอาการของใจที่มันเกิดดับๆ ในหัวใจอีกทีหนึ่ง แล้วตัวที่เป็นสัมมาสมาธิมันเห็นอาการของใจที่เกิดดับๆ ความเกิดดับนี้หลอกเรา หลอกไอ้จิตตัวที่เป็นความผ่องแผ้วนั่นน่ะ แล้วมันก็เกิดความรู้สึกเกิดดับๆ อีกทีหนึ่ง จิตมันสงบแล้วมันจะเห็นความเกิดดับอันนี้ไง ความเกิดดับอันนี้มันหลอกเรา เพราะมันเกิดมันดับตลอดเวลา

อารมณ์ที่เกิดขึ้น เห็นไหม เวลาสิ่งที่เราไม่พอใจเกิดขึ้นมันจะกระชากหัวใจนั้นไปหมดเลย สิ่งที่พอใจเกิดขึ้น เดี๋ยวเดียวมันก็จางไปๆ นี่มันมาเห็นความเกิดดับ พิจารณากายกับใจ พอพิจารณากายกับใจ เห็นความเกิดดับนี้มันสมมุติ มันเป็นเพราะมันเกิดดับของมันโดยธรรมชาติของมัน เราเห็นแจ้งขึ้นมาแล้วมันจะปล่อย ความปล่อยอันนั้นน่ะ ปล่อยบ่อยๆ เข้า บ่อยๆ เข้าจนมันขาดออกไป ความขาดออกไปจากใจ เห็นไหม ใจเป็นอิสระกับตัวเอง

ความคิดที่ฉุดกระชากเราไป เมื่อก่อนเราเองเราว่าเราทุกข์ๆ อยู่ เราคิดเอง เรากระชากดึงหัวใจเราออกไปเอง เราทำลายหัวใจของเราเอง แต่เมื่อเราชำระหัวใจของเราเองแล้ว ความคิดอันนั้นไม่มีอำนาจจะมาดึงใจนี้ออกไปได้ ใจนี้จะเป็นอิสระของมัน พอใจเป็นอิสระของมัน นี่ผลที่เกิดจากความเป็นอิสระของตัวเอง เกิดจากภายในของตัวเอง แล้วตัวเองทำได้มันเป็นเรื่องตัวบุคคล สิ่งที่เป็นตัวบุคคล ชำระของเราเข้ามานี่มันทำได้

พอทำได้ นี่ทุกข์ภายในอันนี้มันหมดสิ้นไปแล้ว โลกจะเดือดร้อนอย่างไรเขาก็อยู่ของเขาได้ เขาไม่มาเดือดร้อนกับโลกเขา แต่เขาเข้าใจเรื่องของโลก โลกนอก โลกใน รู้แจ้งโลกภายใน รู้แจ้งโลกภายนอก แล้วพยายามจะส่งเสริมขึ้นมา แต่ในเมื่อกระแสของกรรมมันเป็นแบบนั้น ในเวลานี้เวลาเที่ยง เวลาบ่าย อากาศมันร้อน อากาศมันรุนแรง เราไม่สามารถดึงกลับมาเป็นอากาศตอนเช้าได้ รอวันใหม่ก็รอภพชาติใหม่

ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาต้องตายไป เกิดวันนี้หมดไปแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้ แต่เหมือนกัน เหมือนกันก็เป็นโอกาสของคนอื่นไม่ใช่โอกาสของเรา เราเกิดใหม่เราถึงได้ภพชาติใหม่ อันนั้นเขาเกิดใหม่ เขาเกิดใหม่เขาก็ได้ภพชาติของเขา เราได้ภพชาติของเรา เราก็ต้องแก้ไขของเราไป ทำใจของเรา

เรื่องข้างนอกมันเป็นสิ่งที่อาศัย เป็นสิ่งที่อาศัยเราต้องสละออก ความที่ว่าเราฉลาด เรือนนี้เปรียบเหมือนไฟไหม้ เราขนของออกจากเรือนได้เท่าไร การทำบุญกุศลอย่าเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย บางคนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยนะ การทำนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เล็กน้อยถ้าทำแล้วชินชา ถ้าเจตนานี้เต็มหัวใจขึ้นมา ไม่เล็กน้อย เจตนานี้สำคัญที่สุด ตั้งใจ เห็นไหม ความตั้งใจมันสะเทือนถึงหัวใจของเรา เราตั้งใจมากนี่มันสะเทือนหัวใจมาก เราตั้งใจน้อย สะเทือนหัวใจน้อย เหมือนกัน เปิดหน้าต่าง อากาศเข้าได้มาก เปิดประตูกว้าง อากาศเข้าได้มาก

หัวใจเต็มใจทำ จงใจทำ ตั้งใจทำ มันสะเทือนถึงหัวใจ ความเจตนานี้พอสะเทือนถึงใจ เข้าถึงใจๆ อันนี้มันทำให้เราเสริมความทุกข์ ความที่ว่าเราจะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ขึ้นไป มันจะมีโอกาสไง เหมือนกับเราเติมน้ำมันของเราเอง อามิสทาน เราสละออกไปเป็นวัตถุ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)